ตัดไหมเชียงใหม่
การตัดไหม (Suture Removal) คืออะไร?
การตัดไหม คือ ขั้นตอนทางการแพทย์ที่ทำขึ้นเพื่อนำวัสดุเย็บแผลชนิดที่ไม่สามารถสลายตัวได้ (ไหมไม่ละลาย) ออกจากร่างกายของผู้ป่วย หลังจากที่บาดแผลจากการผ่าตัดหรือการเย็บแผลสมานตัวและหายดีพอสมควรแล้ว
สาระสำคัญของการตัดไหม
• จุดประสงค์หลัก: เพื่อยุติบทบาทของไหมเย็บแผล ซึ่งทำหน้าที่ยึดขอบแผลไว้ให้ติดกันจนกระทั่งเนื้อเยื่อสมานตัวแข็งแรงพอ
• ป้องกันปัญหา: การนำไหมออกในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสการเกิด:
• รอยแผลเป็นแบบรอยตีนตะขาบ (Tram Track Scar): ซึ่งเกิดจากการที่ไหมกดทับผิวหนังเป็นเวลานานเกินไป
• การอักเสบหรือติดเชื้อ: ที่อาจเกิดขึ้นรอบๆ รูเข็มเย็บหากทิ้งไหมไว้นานเกินความจำเป็น
• ใครเป็นผู้ทำ: การตัดไหมควรทำโดยแพทย์หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเท่านั้น LANNA
จุดประสงค์หลักของการตัดไหม
1. ป้องกันการติดเชื้อ (Prevent Infection):
• ไหมเย็บแผลถือเป็นสิ่งแปลกปลอมบนร่างกาย และรูที่เกิดจากการเย็บอาจเป็นทางเข้าหรือแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้
• การนำไหมออกเมื่อแผลติดสนิทแล้วจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหนองหรือการติดเชื้อที่ร่องรอยเย็บได้
2. ลดการเกิดรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด:
• หากทิ้งไหมไว้นานเกินไป ไหมจะกดทับและดึงผิวหนังบริเวณรอบๆ รูเย็บ
• การกดทับนี้จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยขีดขวางหรือรอยบุ๋มตามรอยไหมที่เรียกว่า “รอยตีนตะขาบ” (Tram Track Scar) การตัดไหมให้ตรงเวลาจึงช่วยให้แผลเป็นเรียบเนียนขึ้น
3. ยุติปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม:
• ร่างกายจะมองว่าไหมที่ไม่ละลายเป็นสิ่งแปลกปลอม (Foreign Body) และอาจมีปฏิกิริยาต่อต้าน ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ปวด หรือคันบริเวณแผลได้
4. ส่งเสริมการหายของแผลที่สมบูรณ์:
• เมื่อไหมถูกนำออก แสดงว่าขอบแผลแข็งแรงพอที่จะยึดตัวเองไว้ได้แล้ว การนำไหมออกจะช่วยให้กระบวนการสมานแผลดำเนินต่อไปได้อย่างสมบูรณ์
ระยะเวลาในการตัดไหม
บริเวณที่ผ่าตัด / เย็บแผล
ระยะเวลาในการตัดไหม (โดยประมาณ)
– ใบหน้า / ศีรษะ5–7 วัน
– หนังศีรษะ (ปลูกผม, ผ่าตัดศีรษะ)
7–10 วัน
– ลำคอ 7 วัน
– หน้าอก / ท้อง 7–10 วัน
– แขน / ขา 10–14 วัน
– ฝ่ามือ / ฝ่าเท้า 12–14 วัน
– บริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย (ข้อพับ, ข้อศอก, เข่า ฯลฯ) 10–14 วัน
– บริเวณอวัยวะเพศ 7–10 วัน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบ
1. คำแนะนำของแพทย์สำคัญที่สุด: ระยะเวลาที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการเย็บแผล ซึ่งจะพิจารณาจากขนาด ความลึก และลักษณะเฉพาะของบาดแผลของคุณ
2. ชนิดของไหม: หากแผลเย็บด้วย “ไหมละลาย” (Absorbable Suture) ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาตัดไหม เพราะไหมจะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ขั้นตอนการตัดไหม (โดยทั่วไป)
1. ทำความสะอาดแผล: แพทย์หรือพยาบาลจะทำความสะอาดแผลบริเวณรอบไหมเย็บ
2. หนีบและยกปมไหม: ใช้แหนบหรือคีมหนีบที่ผ่านการฆ่าเชื้อดึงปมของไหมขึ้นมาเหนือผิวหนังเล็กน้อย
3. ตัดไหม: ใช้กรรไกรตัดไหมที่สะอาดสอดเข้าไปตัดไหมส่วนที่ชิดผิวหนัง ใต้ปมที่ผูกไว้
4. ดึงไหมออก: ค่อยๆ ดึงไหมออกจากผิวหนังเบาๆ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกถึงแรงเสียดสีเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้สึกเจ็บ
5. ทำความสะอาดและปิดแผล: ทำความสะอาดแผลอีกครั้ง และอาจมีการใช้เทปปิดแผล (เช่น Steri-Strip) หรือผ้าพันแผลปิดทับเพื่อป้องกันแผลเปิด
การดูแลแผลหลังตัดไหม
การดูแลแผลอย่างถูกวิธีหลังการตัดไหมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลสมานตัวสมบูรณ์
• รักษาความสะอาดและความแห้ง: ดูแลแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ
• การโดนน้ำ:
• ถ้าแผลแห้งสนิทดี แพทย์มักจะอนุญาตให้แผลโดนน้ำได้หลังตัดไหมประมาณ 3 วัน โดยสามารถล้างหน้าหรืออาบน้ำได้ตามปกติ แต่ควรรีบเช็ดบริเวณแผลให้แห้งสนิททันที
• ถ้าแผลยังไม่แห้งสนิท ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนน้ำหรือทำแผลตามคำแนะนำ
• หลีกเลี่ยงแสงแดด: หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสัมผัสแสงแดดโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด
• ทายาลดรอยแผลเป็น: ควรทายาลดรอยแผลเป็นอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
หากมีอาการผิดปกติ เช่น แผลบวม แดง มีหนองไหล หรือเจ็บปวดผิดปกติ ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที
ความรู้สึกระหว่างการตัดไหม
• ไม่เจ็บปวดรุนแรง: ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บขณะตัดไหม แต่จะรู้สึกได้ถึงความตึงหรือแรงดึงเล็กน้อยที่ผิวหนังเมื่อแพทย์ดึงไหมออก
• ใช้เวลาสั้น: กระบวนการตัดไหมมักใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนไหมที่เย็บ
• ความสำคัญของความร่วมมือ: ควรผ่อนคลายและไม่เกร็ง เพราะการเกร็งอาจทำให้รู้สึกตึงมากขึ้นเล็กน้อย
การดูแลแผลก่อนการตัดไหม (ในวันนัด)
• รักษาความสะอาด: หากแผลมีการปิดไว้ ควรดูแลให้แผลแห้งและสะอาดตามคำแนะนำเดิมของแพทย์
• สังเกตอาการผิดปกติ: ก่อนถึงวันนัด ควรตรวจดูแผลและแจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้:
• ปวดรุนแรงขึ้น หรือปวดไม่หาย
• แผลบวม แดง ร้อน ผิดปกติ
• มีหนอง หรือของเหลวขุ่น ไหลออกจากแผล
• ขอบแผลแยก ออกจากกัน
ภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้หลังตัดไหม
• แผลแยกเล็กน้อย (Wound Dehiscence): หากตัดไหมเร็วเกินไป หรือมีการขยับแผลมาก แผลอาจแยกออกจากกันเล็กน้อย แพทย์อาจแนะนำให้ใช้เทปช่วยดึงรั้งขอบแผล (เช่น Steri-Strip) ปิดไว้ต่ออีก 2-3 วัน
• ไหมตกค้าง (Retained Suture): ในบางครั้งอาจมีส่วนเล็กๆ ของไหมที่ไม่ละลายฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ร่างกายจะผลักดันออกมาเอง แต่หากเกิดอาการบวมแดงหรือรู้สึกระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อนำไหมออกอย่างถูกวิธี
REVIEW!!
About us
ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผ่านการอบรมและมีใบรับรองจากหลายสถาบัน
ทีมแพทย์ของเรา
ดร.นพ.ธีรศักดิ์ แพทยาดิกุล
Dr.Teerasak Pattayadeekul
อาจารย์พิเศษ Dermatology and Regenerative medicine สำนักเวชศาสตรชะลอวัย ม.แม่ฟ้าหลวง / แพทย์ปริญญาเอก สาขา ผิวหนัง ศัลยกรรมผิวหนัง/เลเซอร์/ความงาม
- Fellow in dermato surgery & LASER รามาธิบดี .
- Vissiting fellow dermatology Juntendo Dermatology & Dermatopathology.
- MD.Msc.Phd in Dermatology / LASER / Aesthetic Surgery.
- Fellow in LASER surgey and Facial plastic surgery Fort Lauaderdel Florida USA
- Diploma of Hair Transplantation by Thai association and Academy of Cosmetic surgery and medicine
พญ.ทวีพร ตรีประภากร
Dr.Thaweeporn Treepraphakorn
แพทย์สาขาศัลยกรรมความงาม/เลเซอร์/ปลูกผม
แพทย์ อเมริกันบอร์ดปลูกผม (ABHRS)
- Fellowship in Cosmetic Surgery/ Korean college of Cosmetic Surgery
- Diplomate American Board of Hair Restoration Surgery/ABHRS
- International Board of Hair Restoration Surgery / IBHRS
- Certificate Hair transplantation By Korean Society of Hair Restoration Surgery
- Member in association of Aesthetic Anti-aging Surgery,Thailand
- Member of International Society of Hair Restoration Surgery (ISHRS)
- Certificate Liposuction by Korean college of Cosmetic Surgery
- Master degree in Dermatology (MSc)









